ข้าวตราฉัตร ผู้นำธุรกิจข้าวถุง เปิดตัวข้าวญี่ปุ่นคุณภาพดี หลังจากซุ่มทดลองวิจัยปลูกแบบใหม่ สายพันธุ์ที่เหมาะสมกับประเทศไทย “อะกิตะโคมาชิ” ชูคอนเซปต์ “ข้าวญี่ปุ่นตราฉัตร…เหนียว นุ่ม อร่อยแบบต้นตำรับ” วางยุทธศาสตร์เจาะตลาดช่องทางร้านอาหาร โรงแรม ทั้งในและต่างประเทศ กว่า 50 ประเทศทั่วโลก ตั้งเป้า 5 ปียอดขายในประเทศ100 ล้านบาท

นายฐิติ ลุจินตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด (ข้าวตราฉัตร) เปิดเผยว่า กระแสความนิยมบริโภคอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีการขยายตัว 5-10% ต่อปี และปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย โดยมีมูลค่าตลาดรวม 22,000 ล้านบาท เติบโต 10-15% ต่อปี และประเทศไทยยังมีร้านอาหารญี่ปุ่นมากติดอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน

จากอัตราที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบประกอบอาหารญี่ปุ่นจำนวนมาก ฉะนั้น บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด (ข้าวตราฉัตร) เล็งเห็นโอกาสในตลาดข้าวญี่ปุ่นตลาดเฉพาะกลุ่ม ที่มีศักยภาพในเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับวัตถุประสงค์หลักของบริษัทฯ คือ ส่งเสริมชาวนาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพัฒนาข้าวญี่ปุ่นคุณภาพระดับพรีเมี่ยมที่ผลิตโดยคนไทย จึงได้มีการศึกษา วิจัย พัฒนาโมเดลปลูกข้าวแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และจับมือร่วมกับชาวนา ผ่าน “โครงการส่งเสริมปลูกข้าวญี่ปุ่น” เปิดตัว“ข้าวญี่ปุ่นตราฉัตร” ครั้งแรกของเมืองไทย ที่ผู้บริโภคจะได้รับประทานข้าวญี่ปุ่นคนไทยผลิต ที่แตกต่างจากข้าวญี่ปุ่นในเมืองไทยทั่วๆ ไป “อร่อยแบบต้นฉบับ เสมือนมีเชฟญี่ปุ่นมาปรุงเมนูถึงบ้าน” เพราะทุกๆ กระบวนการผลิต เรามุ่งมั่น พิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียด จนได้เป็นเมล็ดข้าวญี่ปุ่นคุณภาพดี อีกทั้ง ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในคุณภาพวัตถุดิบ เพราะมีแหล่งเพาะปลูกชัดเจน จากแปลงนาเกษตรกรสมาชิก และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอนการผลิต

ด้าน นายไตรรัตน์ อุดมศรีโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ข้าวญี่ปุ่นจากตราฉัตรมีความโดดเด่นเรื่องคุณภาพ เริ่มจากการคัดเลือกพันธุ์ข้าวญี่ปุ่นแท้ๆ คุณภาพดี ที่ได้รับการรับรองจากศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย กรมการข้าว ว่าเหมาะสมที่สุดกับภูมิอากาศ ภูมิประเทศของประเทศไทย จนได้มาซึ่งพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น “อะกิตะโคมาชิ หรือ ก.วก. 2”พันธุ์ที่นิยมปลูก ติดอันดับ 1 ใน 5 ในประเทศญี่ปุ่น โดยพื้นที่ปลูกอยู่ในภาคเหนือเป็นแปลงของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมปลูกข้าวญี่ปุ่น กับทางบริษัท ได้แก่ อำเภอพาน อำเภอเวียงชัย และอำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ที่เลือกพื้นที่ในภาคเหนือเพราะว่ามีลักษณะภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ที่ใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น และมีแหล่งชลประทานที่สมบูรณ์ รวมกว่า 2,409 ไร่ ในฤดูนาปรัง ปีการผลิต 58 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค.58 ทั้ง 3อำเภอ รวมทั้งสิ้นเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 274 ราย และในฤดูนาปี ปีการผลิต58/59 ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ต.ค. 58 มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มขึ้นเป็น จำนวน 408ราย รวมกว่า 3,790 ไร่

โดยบริษัทได้เข้ามาช่วยเกษตรกรสมาชิกในโครงการดูแลเรื่องระบบบริหารจัดการเกษตร ตั้งแต่ถ่ายทอดความรู้วิธีปลูกข้าวญี่ปุ่นให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี ราคาสูง โดยนักวิชาการเกษตร คอยให้คำแนะนำทุกขั้นตอน อาทิ ขั้นตอนการเพาะปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวที่ถูกวิธี ผ่านขั้นตอนที่พิถีพิถัน ที่สำคัญมีรูปแบบการส่งเสริม ที่สร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกร โดยมีการตกลงเรื่องราคารับซื้อผลผลิตก่อนเริ่มเพาะปลูก และรับซื้อผลผลิตคืนจากเกษตรกรสมาชิก มาปรับปรุงคุณภาพ ทำให้เกษตรกรไม่มีความเสี่ยงเรื่องราคาผลผลิตในฤดูเก็บเกี่ยว ตลอดจนบรรจุที่ได้มาตรฐานสากล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอนการผลิต

“ทั้งนี้การปลูกข้าวญี่ปุ่นสายพันธุ์ อะกิตะโคมาชิ หรือ ก.วก.2 ในพื้นที่ส่งเสริมเกษตรกรจะมีต้นทุนการเพาะปลูกต่อไร่อยู่ที่ 5,400 บาท รวมค่าเมล็ดพันธุ์และการเพาะปลูกต้นกล้าและค่าบริหารจัดการแล้ว โดยเฉลี่ยเกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อไร่ ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในแต่ละฤดู จะเห็นได้ว่าการปลูกข้าวญี่ปุ่นมีต้นทุนการเพาะปลูกที่สูงกว่าการปลูกข้าวทั่วไป แต่ถ้าคิดเป็นรายได้เกษตรกรและการมีตลาดอยู่ในมือก็ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ที่เกษตรกรสามารถพึ่งตนเองได้”  ผู้บริหารข้าวตราฉัตร กล่าวในที่สุด

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated