แปลงใหญ่สมุนไพรวังท่าช้าง

กรมส่งเสริมการเกษตร สนับสนุนแปลงใหญ่สมุนไพร หมู่ที่ 1 ตำบลวังท่าช้าง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ผลิตสมุนไพรคุณภาพทั้งมะระขี้นก เพชรสังฆาต ดีปลี และพริกไทย ตามคำสั่งซื้อลูกค้า พร้อมประกันราคาให้สมาชิก มีรายได้ 20,000-40,000 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต คาดตลาดในอนาคตสดใส โดยเฉพาะจีนและไต้หวันมีคำสั่งซื้อจำนวนมาก

นายวินัย ลักษณะวิลาศ เกษตรจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมคณะลงพื้นที่แปลงใหญ่สมุนไพรวังท่าช้าง หมู่ที่ 1 ตำบลวังท่าช้าง อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเยี่ยมชมกระบวนการผลิตพืชสมุนไพร และเชื่อมโยงการตลาด โดยแปลงใหญ่สมุนไพรวังท่าช้างฯ มีความโดดเด่นเรื่องการวางแผนการผลิตและการตลาด เนื่องจากใช้หลักการตลาดนำการผลิต หรือผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ทำให้สมาชิกสามารถผลิตสมุนไพร และจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี

นายวินัย ลักษณะวิลาศ เกษตรจังหวัดปราจีนบุรี และ นางสาวหนึ่งฤทัย อาจยางคำ

“โดยมีศักดิ์อุบลฟาร์ม เป็นแหล่งรับซื้อพืชสมุนไพรและเป็นแหล่งปลูกสมุนไพรที่มีพื้นที่กว่า 400 ไร่ โดยในระยะ 2 ปี ที่ผ่านมา มีการรวมกลุ่มกับเกษตรกรในพื้นที่จำนวน 85 ราย เพื่อปลูกมะระขี้นก แล้วนำเข้าสู่กระบวนการอบแห้ง ก่อนที่จะส่งขายให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ที่ร่วมกันปลูกต่างพอใจกับกับราคาขายส่ง ในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 15 บาท ใช้ระยะเวลาปลูก จำนวน120 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกจำหน่ายได้”

เกษตรจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร โดยเกษตรจังหวัดปราจีนบุรี และเกษตรอำเภอกบินทร์บุรี ได้ส่งเสริมให้สมาชิกแปลงใหญ่วังท่าช้างฯ ดำเนินการผลิตแปลงเกษตรแบบอินทรีย์และพืชสมุนไพร ตามคำสั่งซื้อ หรือ ออเดอร์ของลูกค้า ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ง่ายในการบริหารจัดการโดยพืชสมุนไพรที่ปลูกมีหลายชนิด เช่น มะระขี้นก เพชรสังฆาต ดีปลี พริกไทย และกระดูกไก่ดำ ที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาตลอด และยังมีสมุนไพรอื่น ๆ ที่ผู้นำกลุ่ม อยู่ระหว่างทดลองปลูก และคาดว่าการตลาดจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะตลาดจากประเทศจีนและไต้หวัน ที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมาก

“ส่วนการสนับสนุนด้านความรู้ และงบประมาณนั้น เนื่องจากแปลงใหญ่สมุนไพรวังท่าช้างฯ เพิ่งก่อตั้ง ได้ประมาณ 2 ปี จึงอยู่ระหว่างของบประมาณสนับสนุน แต่บางส่วนได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านการจัดหาปุ๋ยให้แล้ว ประมาณ 3 หมื่นบาท ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมในด้านงบประมาณต่อไปในอนาคต ส่วนด้านความรู้ มีเกษตรอำเภอกบินทร์บุรี และเกษตรตำบลวังท่าช้าง เข้ามามีส่วนในการแนะนำเรื่องการดูแลรักษาและกระบวนการผลิตเพื่อให้สมุนไพรมีคุณภาพ และเจริญเติบโตได้ดี” นายวินัย กล่าว

ด้าน นางสาวหนึ่งฤทัย อาจยางคำ ประชาสัมพันธ์วิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรมชาววัง และเป็นเจ้าของศักดิ์อุบลฟาร์ม กล่าวว่า พืชสมุนไพรหลักในแปลงที่มีการปลูกและส่งเสริมให้สมาชิกปลูกมีหลายชนิด เช่น มะระขี้นก เพชรสังฆาต ดีปลี พริกไทย และหนุมานประสานกาย แต่หลัก ๆ เน้นที่มะระขี้นก มีสมาชิกปลูกประมาณ 55 แปลง พื้นที่ปลูกกว่า 100 ไร่ เนื่องจากปลูกเพียง 120 วันก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยได้ส่งเสริมให้สมาชิกปลูกภายในครัวเรือน ๆ ละ 1-2 ไร่ ต่อรอบการผลิต มีรายได้ประมาณ 20,000-40,000 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต เมื่อสมาชิกมีเงินทุนหรือเงินเก็บจากการปลูกมะระขี้นกแล้ว ก็จะมีแผนและแนวทางส่งเสริมให้ปลูกพืชสมุนไพรชนิดอื่น เช่น เพชรสังฆาต ดีปลี และหนุมานประสานกาย เพราะต้องใช้ทุนสูง แต่ปลูกครั้งเดียวก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลายสิบปี เพราะเป็นพืชที่มีอายุยืน โดยสมุนไพรทุกตัวที่ให้สมาชิกนำไปปลูกจะรับประกันราคาให้ เช่น มะระขี้นก รับประกันราคาซื้อสดอยู่ที่กิโลกรัมละ 15 บาท ดีปลี กิโลกรัมละ 20 บาท และเพชรสังฆาต กิโลกรัมละ 12 บาท

“ ปีนี้มีออเดอร์มะระขี้นกอยู่ที่ 20 ตันแห้ง ส่งขายตลาดในประเทศ เช่น โรงงานผลิตยาสมุนไพร อยู่ประมาณ 10 ตันแห้ง ส่วนตลาดต่างประเทศจะขายให้กับประเทศจีน และไต้หวัน อยู่ประมาณ 10 ตันแห้งเช่นกัน และคาดว่าสถานการณ์ด้านการปลูกและการผลิตพืชสมุนไพรโดยทั่วไปจะเติบโตขึ้นกว่านี้ เพราะกระแสรักสุขภาพมาแรง และคนหันมาปลูกพืชสมุนไพรและทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ส่วนทิศทางด้านการตลาดภายในประเทศอาจจะโตไม่มากนัก เพราะด้วยการแพทย์สมัยใหม่ที่ก้าวหน้า ทำให้คนไทยนิยมใช้บริการยาปฏิชีวนะ หรือยาแผนปัจจุบันมากกว่าจะใช้ยาแผนโบราณหรือยาสมุนไพร แต่สำหรับตลาดต่างประเทศมีทิศทางดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดไต้หวันและจีน เนื่องจากมีการรับซื้อวัตถุดิบจากบ้านเรานำไปแปรรูปแล้วนำกลับมาขายให้คนไทย เนื่องจากคนไทยเชื่อมั่นในเทคโนโลยีต่างประเทศมากกว่า” เจ้าของศักดิ์อุบลฟาร์ม กล่าว

เจ้าของศักดิ์อุบลฟาร์ม กล่าวตอไปว่า แม้แปลงใหญ่สมุนไพรวังท่าช้างฯ จะเพิ่งก่อตั้ง แต่การรวมกลุ่ม ของเกษตรกรมีความเข้มแข็งมาก โดยเฉพาะการตลาด เพราะเน้นการผลิตแบบอินทรีย์ ทำให้มีลูกค้าสั่งจองล่วงหน้า นอกจากนี้สมาชิกในกลุ่มยังให้คำปรึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้สมุนไพรมีคุณภาพ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ปัจจุบันอยู่ระหว่างวางแผนเพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น โดยขยายพื้นที่ปลูกให้มากกว่าเดิม แต่ยังติดที่สมาชิกบางแปลงยังไม่พร้อม อยู่ระหว่างปรับพื้นที่เพื่อให้เป็นอินทรีย์อย่างแท้จริง คาดว่าเร็ว ๆ นี้ จะเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าเดิมอย่างแน่นอน

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated