AgrowPlus ทุ่ม 55 ล้านบาท เปิดตัวธุรกิจนวัตกรรมการเกษตร ตั้งเป้ายกระดับภาคเกษตรครบวงจครั้งแรกในไทย
AgrowPlus ทุ่ม 55 ล้านบาท เปิดตัวธุรกิจนวัตกรรมการเกษตร ตั้งเป้ายกระดับภาคเกษตรครบวงจครั้งแรกในไทย

AgrowPlus ผู้ให้บริการนวัตกรรมธุรกิจการเกษตรในรูปแบบ B2B2C4E หรือ Business-to-Business-to-Customer ตัวกลางสำคัญในการเชื่อมต่อธุรกิจทางการเกษตรระหว่างเจ้าของธุรกิจ กับ เจ้าของธุรกิจ สู่ผู้บริโภค เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมบริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท อะโกรว์แล็บ จำกัด หน่วยวิจัยและเทคโนโลยี ในรูปแบบของโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) และการปลูกพืชในโรงเรือน (Greenhouse), บริษัท เธอร์บาลิสต้า จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกกลางแจ้งมาตรฐานออร์แกนิค บริษัท อะโกรว์ฟาร์ม จำกัด, จัดจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร และ บริษัท อโกรว์แคร์ จำกัดจัดจำหน่ายผลผลิตแปรรูปทางการเกษตร เช่น ยา อาหารเสริม เครื่องสำอาง เป็นต้น โดย บริษัท อโกรว์พลัส จำกัด ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อโมเดลการทำธุรกิจทางการเกษตรครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ทั้งในระดับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการร่วมพัฒนาธุรกิจ การต่อยอดทางธุรกิจ การร่วมลงทุน ไปจนถึงผู้บริโภครายย่อย โดยมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับการเกษตรแบบเดิมให้กลายเป็นเกษตรสมัยใหม่ นำเทคโนโลยีทางวิศวกรรมเข้ามาช่วย เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพและเข้าถึงได้ง่าย

นายตะวัน น้อยมีธนาสาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อโกรว์พลัส จำกัด และกลุ่มบริษัทในเครือ เปิดเผยถึงที่มาของ AgrowPlus ว่า เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แนวโน้มจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นจากในอดีต รวมถึงประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารของโลก ประกอบกับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 สิ่งที่คนทั้งโลก ต้องเผชิญ คือ สถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกต้องหยุดชะงัก อีกทั้งระบบห่วงโซ่การผลิตทั่วโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทั่วโลกเกิดความกังวลเรื่องการขาดแคลนอาหาร ยกตัวอย่างเช่น อินโดนีเซีย จำกัดเรื่องการส่งออกปาล์ม อินเดีย จำกัดการส่งออกน้ำตาล และข้าวสาลี มาเลเซีย จำกัดการส่งออกไก่ อาร์เจนติน่า จำกัด การส่งออกถั่วเหลือง บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในการเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศไทยให้ดีขึ้น สร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและยารักษาโรคด้วยวัตถุดิบทางการเกษตร ซึ่งเป็นที่มาของ AgrowPlus และบริษัทในเครือทั้งหมด

โดยการทำงานของ AgrowPlus และบริษัทในเครือ ทำงานอยู่ภายใต้การบริหารงานแบบ 4E ก็คือ 4E-Marketing 5.0 ได้แก่ Experience: สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า Exchange: สร้างความคุ้มค่าให้ลูกค้ายอมรับในผลิตภัณฑ์ Everywhere: ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้จากทุกที่ และ Evangelism: สร้างลูกค้าขาประจำเพื่อให้เกิด Brand Loyalty สำหรับ ความแตกต่างของ AgrowPlus นั้นจะช่วยยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ที่ต้องเพาะปลูกตามวิถีธรรมชาติ ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น สภาพแวดล้อมมาจากฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รวมถึงศัตรูพืชต่างๆ ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณของผลิตผล รวมถึงการใช้ “สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช” แม้ว่าจะควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยปัญหา สารปนเปื้อน สารเคมีตกค้าง ทั้งเป็นภัยต่อสุขภาพของเกษตรกร และผู้บริโภค ยังเป็นภัยต่อระบบนิเวศวิทยา

ด้วยเหตุนี้เอง AgrowPlus จึงเล็งเห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุค “เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร” หรือที่ภาครัฐ เรียกว่า “เกษตร 4.0” การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรมาใช้ในภาคการเกษตร ย่อมเปลี่ยนวิถีการเกษตร เข้าสู่ “วิถีเกษตรแม่นยำ” ตั้งแต่เริ่มต้นเพาะปลูกจนกระทั่งถึงการเก็บเกี่ยว ทำให้สามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพของผลิตผลทางการเกษตรได้ดีขึ้น และยังเป็นการยกระดับผลิตผลทางการเกษตร ให้เข้าสู่ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic) และมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) ตอบโจทย์ในเรื่องมาตรฐานวัตถุดิบทางอาหารที่ดี และปลอดภัย

ทั้งนี้ เป้าหมายของ AgrowPlus ต้องการจะช่วยให้การเกษตรของประเทศดีขึ้น โดยการเข้าสู่ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic) และ มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) สามารถตอบโจทย์ในเรื่องมาตรฐานวัตถุดิบทางอาหารที่ดี และปลอดภัย ซึ่งช่วยให้ประเทศดีขึ้นในแง่มุมต่างๆ ดังนี้ มุมผู้บริโภคได้วัตถุดิบทางอาหารที่ดี และปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ผู้คนสามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติ ประกอบกิจการงานได้ตามปกติ เศรษฐกิจของประเทศก็เดินหน้า ส่วนในมุมของ เกษตรกร หากเกษตรกรเข้าสู่ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic) และ ได้มาตรฐานการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) ผลผลิตที่ออกมาก็จะได้มาตรฐานที่ดี ปลอดภัย ผู้บริโภคมั่นใจ ผู้ประกอบการทางธุรกิจมั่นใจเกษตรกรสามารถขายผลิตผลทางการเกษตรได้มากขึ้น ราคาดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ฐานะความเป็นอยู่ย่อมดีขึ้น เป็นภาระของภาครัฐน้อยลง และในมุมของ ภาคธุรกิจ ทั้งรายย่อย และรายใหญ่ ที่ต้องนำผลิตผลทางการเกษตร มาเป็นวัตถุดิบในการผลิต และแปรรูป ในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ ตอบโจทย์ นโยบายทางเศรษฐกิจ ที่ตั้งเป้าหมายว่า “ครัวไทยสู่ครัวโลก” และสุดท้ายในมุมของ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจเพื่ออนาคต หรือเรียกว่า New S-Curve อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ประกอบด้วย การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) และ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)

นายตะวัน กล่าวเพิ่มเติมว่า ไฮไลท์ที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) เพราะประเทศไทยยังไม่มียาตำรับแพทย์แผนไทยเข้าสู่ตลาดโลก หนึ่งในสาเหตุหลักๆ ก็คือ วัตถุดิบสมุนไพรไทย ซึ่งถ้าเราสามารถยกระดับอุตสาหกรรมยาไทย ประเทศไทยจะมีแบรนด์ของตนเอง

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated