ยกระดับชุมพรสู่การเป็น “มหานครโรบัสต้า” ระดับประเทศและระดับสากล

เรื่องโดย : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.

จังหวัดชุมพรเป็นหนึ่งในพื้นที่ปลูกกาแฟโรบัสต้าที่สำคัญของประเทศ มีพื้นที่ปลูกกาแกว่าห้าหมื่นไร่ ได้เมล็ดกาแฟปีละกว่า 5 พันตัน แต่การปลูกกาแฟก็ยังไม่สามารถเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรที่นี่ได้ เนื่องจากคุณภาพของเมล็ดกาแฟยังไม่ได้มาตรฐานการผลิตเมล็ดกาแฟบรรจุถุงสำหรับร้านกาแฟหรือผู้บริโภค จึงต้องขายให้กับโรงงานผลิตกาแฟสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปในพื้นที่ที่รับซื้อในราคาต่ำเฉลี่ยที่ 70 บาทต่อกิโลกรัม

ยกระดับชุมพรสู่การเป็น “มหานครโรบัสต้า” ระดับประเทศและระดับสากล

งาน “ชุมพรมหานครโรบัสต้า”  เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่จังหวัดชุมพรจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2566 ตามแผนงานสนับสนุนและผลักดันให้ผู้ปลูกกาแฟสามารถผลิตกาแฟได้คุณภาพของจังหวัด ซึ่งมีจุดเด่นคือการประกวดสุดยอดกาแฟไทย พบว่ามีผู้ผลิตกาแฟของจังหวัดชุมพรจำนวนมากไม่สามารถผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสต้าได้ตามมาตรฐาน FAQ ที่เป็นมาตรฐานเบื้องต้นของตลาดโรงคั่วกาแฟ (ได้คะแนน Cupping Score มากกว่า 80 คะแนนขึ้นไป) ด้วยสาเหตุหลัก ๆ คือการผลิตและแปรรูปเมล็ดกาแฟที่ส่วนใหญ่ใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม หรือใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม  ทำให้ไม่สามารถผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องและมีมาตรฐาน

ยกระดับชุมพรสู่การเป็น “มหานครโรบัสต้า” ระดับประเทศและระดับสากล

หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงให้ทุนสนับสนุนให้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (มทร.กรุงเทพ) ซึ่งเคยทำโครงการจัดทำการท่องเที่ยวเชิงเกษตรด้านกาแฟร่วมกับจังหวัดชุมพรมาก่อน  ดำเนินโครงการการพัฒนาเครือข่ายชุมชนนวัตกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพ ของผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมชน  ภายใต้กรอบวิจัย “ชุมชนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้” เมื่อปี พ.ศ. 2567 

ดร.เฟื่องฟ้ากาญจน์ ชูตระกูลวงศ์ หัวหน้าโครงการ
ดร.เฟื่องฟ้ากาญจน์ ชูตระกูลวงศ์ หัวหน้าโครงการ

ดร. เฟื่องฟ้ากาญจน์ ชูตระกูลวงศ์  หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับกลุ่มผู้ปลูกกาแฟในช่วงก่อนทำโครงการ พบปัญหาในกระบวนการผลิตกาแฟหลายด้าน ตั้งแต่ “การเก็บ” ที่ไม่ได้เก็บเฉพาะเมล็ดกาแฟสุก  “การตากบนพื้นไม้” ที่ทำให้เกิดการเจือปนได้ง่าย  “การอบ” ที่ไม่ได้มาตรฐานเดียวกัน ทำให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีความชื้นไม่สม่ำเสมอ หากเมล็ดกาแฟมีความชื้นเกิน 10 เปอร์เซ็นต์จะมีโอกาสเกิดเชื้อรา แต่หากความชื้นน้อยเกินไปก็อาจแตกหรือหักได้ “การคัด” คือไม่มีคัดเมล็ดกาแฟตกเกรด ทั้งความชื้น, ขนาด, การแตกหัก และสี

“แผนของวิจัยในโครงการนี้คือ การนำเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพมาถ่ายทอดให้กับกลุ่มผู้ปลูกกาแฟที่ผ่านการคัดเลือกใน 4 นวัตกรรม ประกอบด้วย หนี่ง ถังหมักกาแฟ ที่ใช้หมักกาแฟร่วมกับยีสต์ ทำให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีกลิ่นรสที่มีความซับซ้อน มีราคาขายสูงขึ้น สอง การใช้ตู้อบพลังแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานไฟฟ้า ช่วยลดปัญหาสิ่งปนเปื้อนจากการตากแบบเก่า สาม เครื่องคัดแยกสีเปลือกและขนาดเมล็ดกาแฟ  ทำให้ได้เมล็ดกาแฟในขนาดที่ตลาดต้องการ และสามารถแยกสีของเมล็ดกาแฟตามที่ต้องการได้ และ สี่ เครื่องคั่วกาแฟระบบลมร้อนอัตโนมัติ ให้ความร้อนที่สม่ำเสมอกว่าการคั่วด้วยกระทะ เมล็ดกาแฟที่มีความชื้นได้มาตรฐาน”

สำหรับขั้นตอนการทำงาน เน้นไปที่การให้ความรู้และอบรมการใช้เทคโนโลยีให้กับกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 7 รายจาก 5 อำเภอของจังหวัดชุมพร รวมถึงการติดตามผลและให้ความช่วยเหลือจำเป็นต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ คือ สำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพรที่เคยทำงานร่วมกับ มทร.กรุงเทพ มาก่อน เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกกลุ่  มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟที่มีความตั้งใจที่จะผลิตกาแฟคุณภาพ การเข้าไปสอบถาม พูดคุยเพื่อให้เห็นเป้าหมายร่วมกัน  รวมถึงเป็นผู้ประสานงานระหว่างเกษตรกรจังหวัดและ มทร.กรุงเทพ โดยมีการออกแบบแผนการทำงานร่วมกัน ทั้งการลงพื้นที่ การจัดอบรม การสนับสนุนอุปกรณ์ต่างๆ

การอบรมการใช้ถังหมักยีส
การอบรมการใช้ถังหมักยีส

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้การผลิตกาแฟโรบัสต้ามีคุณภาพแล้ว เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสร้างนวัตกรชุมชนที่มีทักษะในการรับ-ปรับ-ใช้ และสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ให้กับกลุ่มผู้ปลูกกาแฟรายอื่น ๆ ในระยะต่อไป โดยมีสำนักงานเกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ และโรบัสต้าเกรดเดอร์ (Robusta Grader – ผู้ทำหน้าที่ให้คะแนนกับเมล็ดกาแฟโรบัสต้า เพื่อกำหนดราคาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตกับพ่อค้าคนกลาง) ที่ทำหน้าที่เป็น “นายสถานี” ในการนำพาเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการที่เป็นนวัตกรระดับ 1 และ 2 ให้สามารถยกระดับตนเองขึ้นมาเป็นนายสถานีถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้สนใจต่อไป

“ด้วยรูปแบบการทำงานของโครงการที่ค่อนข้างยืดหยุ่น ทำให้เราสามารถประยุกต์หรือปรับการทำงานให้เหมาะสมปัญหาต่าง ๆ ได้ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อกับงานที่เกษตรกจังหวัดดำเนินการอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี เช่น การจัดประกวดกาแฟของจังหวัด  โครงการนี้ได้เข้าไปมีส่วนช่วยให้เกิดการนำมาตรฐานกาแฟระดับสากลมาใช้ในการประกวด โดยมีกรรมการเป็นนักประเมินกาแฟระดับประเทศเขามาเป็นส่วนสำคัญของการประกวดเมล็ดกาแฟสาร (กาแฟเม็ดที่ยังไม่คัว) ภายใต้ชื่อ “Best of ชุมพร ที่ทำให้ผู้ปลูกกาแฟคุณภาพของจังหวัดหลายรายได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น”  นางสาววนิดา ชุมคง  นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร ให้ข้อมูล

ยกระดับชุมพรสู่การเป็น “มหานครโรบัสต้า” ระดับประเทศและระดับสากล

ดร.เฟื่องฟ้ากาญจน์ กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำโครงการระยะ 1 ปีคือ ทำให้เกษตรกรจำนวนหนึ่งสามารถผลิตกาแฟคุณภาพตามความต้องการผู้รับซื้อเมล็ดกาแฟเพื่อส่งต่อให้กับร้านกาแฟต่าง ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม จากเดิมที่ต้องขายกาแฟให้โรงงานผลิตกาแฟกึ่งสำเร็จรูปในราคากิโลกรัมละ 70 บาท เพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 300 บาท หรือบางกลุ่มอาจได้มากกว่ากิโลกรัมละ 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ซึ่งโครงการนี้ทำให้แต่ละกลุ่มที่เข้าร่วมมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 แสนบาทต่อปี  และมีนวัตกรที่สามารถส่งต่อองค์ความรู้เหล่านี้ไปสู่ผู้ปลูกกาแฟกลุ่มอื่น ๆ จำนวน 20 ราย

“โครงการนี้ทำให้ผู้ผลิตกาแฟมีทักษะใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีโรงตากเพื่อเพิ่มคุณภาพกาแฟให้สม่ำเสมอยิ่งขึ้น การใช้ยีสต์พาณิชย์สำหรับปรับปรุงรสชาติกาแฟให้ดียิ่งขึ้น การ Cupping กาแฟ รวมถึงทักษะการชิมกาแฟเพื่อให้ผู้ผลิตกาแฟสามารถประเมินรสชาติและคุณภาพของกาแฟได้ด้วยตัวเอง ทำให้สามารถต่อรองราคากับผู้ซื้อได้”

สำหรับก้าวต่อไปในการยกระดับคุณภาพกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพร ของ มทร.กรุงเทพ คือ การจัดตั้ง “ศูนย์กาแฟโรบัสต้าคุณภาพแบบครบวงจร” เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและขับเคลื่อนกาแฟโรบัสต้าคุณภาพ และยกระดับจังหวัดชุมพรให้ก้าวสู่การเป็นมหานครโรบัสต้าระดับประเทศและระดับสากล  เป็นรูปธรรมต่อไป

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated