เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เวลา 15.30 น. นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 พร้อมด้วย นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน

ณ ห้องประชุมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกำหนดทิศทางการบริหารจัดการข้าวของประเทศ รวมถึงการผลิต การตลาด และการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องชาวนาให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในปีนี้ตลาดข้าวโลกมีความผันผวนสูง แต่ด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งดำเนินการขายข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกหน่วยงานทำหน้าที่เป็น “เซลล์แมน” ในการผลักดันสินค้าไทย พร้อมเน้นย้ำให้รักษาและปรับปรุงคุณภาพข้าวไทยให้ดีที่สุด เนื่องจากข้าวไทยยกระดับเกินกว่าการแข่งขันไปแล้ว โดยรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรด้วยมาตรการที่ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด


ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบประเด็นสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยปรับวงเงินสินเชื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาด ข้าวเปลือกเจ้าจาก 8,000 บาท/ตัน เป็น 5,800 บาท/ตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี จาก 9,000 บาท/ตัน เป็น 7,600 บาท/ตัน ข้าวเปลือกเหนียวจาก 10,000 บาท/ตัน เป็น 8,600 บาท/ตัน ทั้งนี้ มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำรายละเอียดงบประมาณเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป การขยายระยะเวลาโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 ให้ขยายออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมสิ้นสุด 31 ต.ค. 68 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย. 69 มาตรการดูดซับผลผลิตข้าวส่วนเกิน ปีการผลิต 2568/69 และมาตรการระยะยาว เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต ประกอบด้วย 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับซื้อข้าวในราคานำตลาด (บวกไม่เกิน 300 บาท/ตัน) เพื่อสีแปรสภาพและกระจายสู่ตลาดปลายทาง เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก เน้นกลุ่มข้าวขาวเป็นหลัก และ 2) การสนับสนุนการปลูกข้าวคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มมูลค่า (ข้าวประณีต) โดยเชื่อมโยงตลาด (Business Matching) และสนับสนุนเครื่องจักร อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก เป้าหมายกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม และมอบหมายกรมการข้าว พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด การทบทวนกฎระเบียบการนำเข้าข้าวตามพันธกรณีภายใต้ WTO ของไทย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (MAFF) ของญี่ปุ่น ได้ร้องขอให้ไทยพิจารณาเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวญี่ปุ่นภายใต้ โควตา WTO เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในไทย ดังนั้น เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยที่ประชุมจึงเห็นชอบให้แก้ไขระเบียบฯ โดยเพิ่มปริมาณการนำเข้าสำหรับผู้มีสิทธิ แต่ละราย จากเดิมไม่เกิน 100 เมตริกตัน/ราย/งวด เป็น ไม่เกิน 300 เมตริกตัน/ราย/งวด และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ แบ่งออกเป็น 4 คณะย่อย ได้แก่ คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และคณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาระบบการผลิตข้าว กำหนดราคาที่เป็นธรรม เป็นผลดีต่อเกษตรกรไทย
สำหรับโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวนาปรังเป็นพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร ภายใต้มาตรการดูดซับผลผลิตข้าวส่วนเกิน ปีการผลิต 2568/69 และมาตรการระยะยาว เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิตที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมาตรการส่งเสริมเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ตลาดต้องการ จำนวน 1 ล้านไร่ โดยสนับสนุนเกษตรกร 2,000 บาท/ไร่ (ไม่เกิน 10 ไร่/ครัวเรือน) นั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เพิ่มเติมข้อมูลในรายละเอียดการดำเนินงาน เพื่อพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติครั้งถัดไป










































