กรมประมง..โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง โชว์ความสำเร็จในการเป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคนิคเพาะเลี้ยง “หอยแครง” ที่เพิ่มอัตราการรอดได้สูงขึ้น เพื่อสร้างผลผลิตลูกพันธุ์คุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค พร้อมขับเคลื่อนเกษตรกรรมสมัยใหม่ควบคู่กับการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า “หอยแครง” เป็นหอยสองฝาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ราคาจำหน่ายสูงถึง 120-150 บาทต่อกิโลกรัม โดยเกษตรกรนิยมเลี้ยงในพื้นที่ชายฝั่งด้วยการเก็บลูกพันธุ์จากธรรมชาติมาหว่านเลี้ยง ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 1–2 ปี จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อจำหน่าย สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรเป็นอย่างดี แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการจับลูกพันธุ์หอยแครงจากธรรมชาติจำนวนมาก ประกอบกับสภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเลที่เสื่อมโทรม ส่งผลให้ปริมาณลูกพันธุ์หอยแครงในธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ 2530 กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ได้เป็นหน่วยงานที่บุกเบิกการศึกษาวิจัยเพื่อเพาะพันธุ์และอนุบาลหอยแครงสำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของงานวิจัยเพาะพันธุ์หอยแครงในประเทศ แต่ด้วยขณะนั้นกำลังการผลิตลูกพันธุ์จากโรงเพาะฟักยังไม่เพียงพอและมีต้นทุนสูง จึงเน้นการปล่อยเสริมในธรรมชาติเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ปัจจุบันได้มีการนำเข้าลูกพันธุ์หอยแครงจากต่างประเทศมากถึง 140.4 ตันต่อปี (ข้อมูลปี 2567) แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร โดยจากสถิติการเลี้ยงหอยทะเลของประเทศไทยในปี 2567 พบว่ามีจำนวนฟาร์มเลี้ยงหอยแครงทั้งสิ้น 1,892 ฟาร์ม มีผลผลิตรวมเพียง 27,231.05 ตัน ซึ่งลดลงกว่าร้อยละ 28.63 เมื่อเปรียบเทียบกับ 10 ปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาการเพาะพันธุ์หอยแครงในระบบเพาะเลี้ยงเพื่อสร้างแหล่งพันธุ์เสริมจากธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ในปี พ.ศ. 2568 กรมประมงจึงได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เร่งดำเนินการฟื้นฟูงานวิจัยเพาะพันธุ์และอนุบาลหอยแครงอีกครั้ง จนกระทั่งสามารถดำเนินการผลิตลูกพันธุ์หอยแครงได้ จำนวน 2 รุ่น ดังนี้
- รุ่นที่ 1 ผลิตลูกหอยขนาด 1 มิลลิเมตร จำนวน 800,000 ตัว อัตรารอดประมาณ 15%
- รุ่นที่ 2 ผลิตลูกหอยแรกฟัก จำนวน 59 ล้านตัว ซึ่งปัจจุบันลูกหอยมีอายุ 10 วัน จำนวน 19 ล้านตัว ยังคงอยู่ในระยะอนุบาลในโรงเพาะฟัก

โดยทางศูนย์ฯ ได้นำลูกหอยแครงขนาด 1 มิลลิเมตร จำนวน 200,000 ตัว จากโรงเพาะฟัก มาทดลองอนุบาลในถาดไฟเบอร์กลาสที่ปูพื้นด้วยเลน โดยใช้น้ำจากบ่อดินเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลหมุนเวียนผ่านระบบตลอดเวลา เพื่อลดการใช้แพลงก์ตอนพืชจากการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ และเพิ่มความหลากหลายของอาหารตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้ลูกหอยปรับตัวได้ดีขึ้นก่อนนำลงเลี้ยงในบ่อดิน ซึ่งผลการทดลองเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าได้ผลผลิตลูกหอยแครงขนาด
3–10 มิลลิเมตร จำนวน 160,000 ตัว มีอัตรารอดเฉลี่ยสูงถึง 83.89% ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของการพัฒนาเทคนิคการอนุบาลลูกหอยแครงในระบบเพาะเลี้ยงที่ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ใกล้เคียงธรรมชาติอย่างมาก โดยลูกพันธุ์ชุดดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสุราษฎร์ธานี เพื่อทดสอบการเลี้ยงในบ่อดิน ศึกษาขนาดและช่วงอายุที่เหมาะสมในการลงเลี้ยง เพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตและอัตรารอดของลูกพันธุ์ต่อไป

อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ดำเนินการต่อยอดงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการขุนเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ การอนุบาลลูกหอยในระบบควบคุมคุณภาพน้ำ และการศึกษาความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อมต่อการเจริญเติบโต เพื่อให้ได้เทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้น การบูรณาการความร่วมมือระหว่างศูนย์ภายใต้กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ได้แก่ สุราษฎร์ธานี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และสงขลา เพื่อร่วมกันทดสอบและประเมินความเหมาะสมของเทคนิคในแต่ละพื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้จริงและปรับให้เหมาะสมกับบริบทของเกษตรกรในแต่ละภูมิภาค การดำเนินงานในระยะต่อไปจึงเป็นการ “พัฒนาต่อยอดงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง” ที่ยังต้องศึกษาปรับปรุงและขยายผล เพื่อยกระดับการเพาะเลี้ยงหอยแครงของประเทศไทยให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น สามารถสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกร และรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่คู่ชายฝั่งทะเลไทยอย่างยั่งยืน

















































