ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนภารกิจยกระดับภาคเกษตร สร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม แปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูงสู่การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

ธ.ก.ส. ครบรอบวันสถาปนา 1 พฤศจิกายน เดินหน้ายกระดับรายได้และความเข้มแข็งภาคการเกษตรในทุกมิติตามแนวทาง Essence of Agriculture สนับสนุนสินเชื่อที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการในระหว่างปีบัญชีไปแล้วกว่า 5.5 แสนล้านบาท เติมคนรุ่นใหม่และผู้มีประสบการณ์เข้าร่วมพัฒนาภาคการเกษตรทดแทนเกษตรกรที่สูงอายุผ่านโครงการโรงเรียนเกษตรธนากร สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนด้วยสินเชื่อ BCG และก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่าน BAAC Carbon Credit เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่เป็นวาระแห่งชาติผ่านมาตรการพักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อย ควบคู่การฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ พร้อมดันสินค้าแกลมเกษตรจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ สู่ BAAC Matching แพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเชื่อมโยงลูกค้า ธ.ก.ส. เกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชนกับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตในภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ครบรอบปีที่ 59 เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจตามวิสัยทัศน์เป็น “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน” ยกระดับการประกอบอาชีพของเกษตรกรทุกมิติตามแนวทางแกนกลางการเกษตร (Essence of Agriculture) นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้นและสร้างการเติบโตภาคเกษตรไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีบัญชี 2568 (1 เมษายน 2568 – 30 กันยายน 2568) ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและการลงทุน ทั้งในและนอกภาคการเกษตรระหว่างปี เป็นจำนวน 551,502 ล้านบาท ทำให้มีสินเชื่อรวม จำนวน 1,689,921 ล้านบาท ยอดเงินฝากสะสม 2,033,710 ล้านบาท สินทรัพย์รวม จำนวน 2,435,717 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ร้อยละ 6.20 ของสินเชื่อรวม ต่ำกว่าแผนการที่วางไว้ที่ร้อยละ 6.77 โดยในปีบัญชีนี้ ธ.ก.ส. ได้ออกผลิตภัณฑ์เงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมถึงบุคลากรของรัฐและเอกชนที่ทำหน้าที่ในการดูแลภาคชนบทและชุมชนในการนำไปต่อยอดและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ อาทิ สินเชื่อเคหะเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเงินด่วนคนดี และสินเชื่อเงินด่วนกึ่งแสน สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. ซึ่งมีผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 636,945 ราย สินเชื่อเงินด่วนสิบหมื่น สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. ผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 277,526 ราย

ด้านผลิตภัณฑ์เงินฝาก ธ.ก.ส. ได้เปิดตัวสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดขุนแผนมรกต เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 หน่วยละ 2,000 บาท ลุ้นโชคใหญ่ มูลค่า 40 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ จำนวนกว่า 1 แสนรางวัล รวมมูลค่ากว่า 72 ล้านบาทต่อเดือน อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกำหนดรับดอกเบี้ยทันที หน่วยละ 19 บาท หรือคิดเป็น 0.475% โดย ณ วันที่ 20 ต.ค. 68 มียอดฝากสลากแล้วกว่า 3,580 ล้านบาท คิดเป็น 1,790,000 หน่วย และเปิดการรับฝาก 2 ผลิตภัณฑ์ สร้างทางเลือกการออมเงิน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ประกอบด้วย เงินฝากทองชมพูนุช เมื่อฝากเงินรับดอกเบี้ยเงินฝากล่วงหน้า ณ วันที่ฝาก ร้อยละ 1.40 ต่อปี ระยะเวลาฝาก 7 เดือน และเงินฝากทองนพคุณ ฝากขั้นต่ำครั้งละ 10,000 บาท วงเงินฝากรวมสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย รับดอกเบี้ยทุกเดือนแบบขั้นบันได สูงสุดถึงร้อยละ 2.15 ต่อปี เฉลี่ยทั้งโครงการร้อยละ 1.40 ต่อปีระยะเวลาฝาก 10 เดือน เปิดรับฝากแล้ววันนี้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ธ.ก.ส. ได้ขับเคลื่อนภารกิจผ่านมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 จนถึงระยะที่ 3 (1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2569) ซึ่งในระยะที่ 3 มีผู้เข้าร่วมมาตรการแล้ว จำนวน 1.35 ล้านราย ต้นเงินกู้กว่า 186,935 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. ได้มีมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความสามารถในการชำระหนี้ตามแนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการมีรายได้เพิ่มขึ้นและลดภาระหนี้สินในระยะยาวหลังจบมาตรการ โดยในปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมแล้ว จำนวน 3.16 แสนราย ในจำนวนนี้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนและสร้างผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% ได้เป็นจำนวนกว่า 1.14 แสนราย นอกจากนี้ ในระหว่างการเข้าร่วมมาตรการ ธนาคารยังได้สนับสนุนเงินทุนผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ ภายใต้มาตรการพักชำระหนี้ให้กับผู้ผ่านการอบรมฯ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนและเสริมสภาพคล่องในระหว่างการพักหนี้ โดยมีผู้ใช้บริการสินเชื่อ จำนวน 37,548 ราย ยอดจ่ายสินเชื่อสะสมรวมกว่า 3,021 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2568) นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังได้ดำเนินโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี ปี 2568 และส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือ ไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 4.5 ล้านครัวเรือน รวมเป็นเงินกว่า 36,716 ล้านบาท

ด้านการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนภายใต้แนวคิดลูกค้าแข็งแรง ธนาคารยั่งยืน ที่จะเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การพัฒนาภาคการเกษตร (Agricultural Networks) โดยเตรียมเปิดตัวเว็บไซต์ BAAC Matching แพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดตลอดห่วงโซ่ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการเกษตรอย่างยั่งยืน ภายใต้คอนเซปต์ “BAAC Holistic : ก้าวไปด้วยกันสร้างสรรค์อนาคตภาคการเกษตรไทยอย่างยั่งยืน” โดย ธ.ก.ส. จะรวบรวมและเชื่อมโยงสินค้า Glam เกษตร จากลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ และจัดหมวดสินค้าที่ง่ายต่อการเลือกซื้อและเข้าถึงมาอยู่ในแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างช่องทางการตลาดใหม่ให้เกษตรกรและผู้บริโภคสามารถซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กันได้โดยตรง พร้อมเปิดให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นี้ ผ่าน http://baacmatching.baac.or.th โดย ธ.ก.ส. ยังได้ร่วมจุดประกายการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ภายใต้แนวคิด ‘ทำน้อยได้มาก’ ด้วยการยกระดับผลิตภัณฑ์และการสร้างภาพลักษณ์อันโดดเด่น ทันสมัย ด้วยการ Repackage และ Redesign เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเกษตรกร ทั้งเกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรหัวขบวน โดยเฉพาะเกษตรกรกลุ่มเปราะบางให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ โดยได้สนับสนุนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้แก่สินค้าที่ได้รับเครื่องหมาย A-Product แล้วกว่า 360 รายการ และในสินค้า Essence Glam อาทิ ข้าวพร้อมทานแบรนด์อุ่นอิ่ม จากสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ร้อยเอ็ด จำกัด (สกต. ร้อยเอ็ด จำกัด) สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. สุรินทร์ จำกัด (สกต. สุรินทร์ จำกัด) สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. นครปฐม จำกัด (สกต. นครปฐม จำกัด) และน้ำสับปะรดกระป๋อง แบรนด์ Sure Juice จากสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ราชบุรี จำกัด (สกต. ราชบุรี จำกัด) ซึ่ง ธ.ก.ส. จะดำเนินการสนับสนุนต่อยอดไปยังสหกรณ์เกษตรเพื่อตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. อื่น ๆ ต่อไป พร้อมหนุนการท่องเที่ยวชุมชมในรูปแบบ Agro-Tourism และผลักดันการสร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูงที่สามารถจำหน่ายในตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ อันนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังเติมเยาวชนและคนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหา Aging Society โดยให้กลุ่มคนเหล่านี้มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เทียบเท่ากับการทำงานในเมือง ผ่านโครงการเกษตรธนากร โดยเติมความรู้ทักษะด้านการเกษตรสมัยใหม่ และความรู้ทางการเงินให้กับเยาวชนในโรงเรียน เพื่อปูทางไปสู่การเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตรในอนาคต นำร่อง 27 โรงเรียนทั่วประเทศ จาก 9 ฝ่ายกิจการสาขาภาค และเตรียมขยายผลไปยังโรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ควบคู่กับการดึง คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ประสบการณ์ทั้งด้านเทคโนโลยีและการตลาดเข้ามาพัฒนาภาคการเกษตรไปสู่การเป็นผู้ประกอบการเกษตรชั้นนำผ่านโครงการสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทั้งภาครัฐและเอกชน ข้าราชการที่เตรียมเกษียณอายุได้มีโอกาสสร้างรายได้จากการอาชีพการเกษตร ทำให้ภาคเกษตรกรรมมีความเข้มแข็งมากขึ้น นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีความเข้มแข็งด้วยการเพิ่มขีดความสามารถองค์กรและบุคลากร ผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้
ในกระบวนการทำงาน (Re-Process and Digitize Process) เพื่อลดเวลาในการดำเนินงานและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ เช่น การสนับสนุนสินเชื่อชะลอข้าวผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile และระบบอำนวยสินเชื่อที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา และจะเริ่มใช้ในเดือนมกราคม 2569

ในขณะเดียวกัน ธ.ก.ส ได้ขับเคลื่อนภารกิจด้านการสร้างความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด ESG มุ่งสู่เป้าหมายการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ผ่านโครงการ BAAC Carbon Credit โดยปัจจุบันมีชุมชนธนาคารต้นไม้เข้าร่วมและขึ้นทะเบียน T-VER แล้ว 35 ชุมชน สามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกสะสม 3,331 ตันคาร์บอน และสร้างพื้นที่สีเขียวกว่า 6,581 ไร่ หรือคิดเป็นจำนวนต้นไม้กว่า 4.95 ล้านต้น และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สะสม 4,879 ตันคาร์บอน นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสร้างความยั่งยืนผ่านสินเชื่อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ESG เป้าหมาย 25,000 ล้านบาท ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 โดยปัจจุบันปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 23,000 ล้านบาท และมีผู้กู้จำนวนกว่า 7,100 ราย

จากความสำเร็จในการดำเนินงาน ในปีบัญชีที่ผ่านมา ทำให้ ธ.ก.ส. ได้รับรางวัลในด้านต่าง ๆ ในระดับมาตรฐานสากลมากมาย ได้แก่ รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA ) ประจำปี 2567 รางวัลมาตรฐานระดับโลกที่สะท้อนถึงความเป็นเลิศในการบริหารจัดการตามเกณฑ์มาตรฐานสากลระดับโลก รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 (SOE Awards) 4 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลบริหารจัดการองค์กรดีเด่น รางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น รางวัลบริการดีเด่น และรางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ด้านความคิดสร้างสรรค์ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภารกิจตามกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ธนาคารในทุกมิติ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 ในสาขา Corporate Governance และสาขา Social Empowerment ที่สะท้อนการเป็นต้นแบบด้านการกำกับดูแลองค์กรที่ดีอย่างมีธรรมาภิบาลและสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไปสู่ความยั่งยืนในระดับสากล รางวัล Asia Pacific Enterprise Awards (APEA 2025) ประเภท ความเป็นเลิศทางธุรกิจองค์กร Corporate Excellence Award ที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้มีความเข้มแข็งและพร้อมยกระดับภาคการเกษตรและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568 ที่สะท้อนถึงความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการนวัตกรรมในองค์กร เพื่อให้เกิดการสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร และรางวัลสุดยอดองค์กรแห่งความเป็นเลิศระดับโลก Global Performance Excellence Award 2025 ในระดับสูงสุด (World Class) ที่สะท้อนความเป็นเลิศในการบริหารจัดการระดับสากล และพร้อมเดินหน้าพัฒนาองค์กรให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งนอกจาก ธ.ก.ส. จะเป็นสถาบันการเงินของรัฐที่ดูแลเกษตรกรและภาคชนบทแล้ว ความเป็นเอกลักษณ์ของ
ธ.ก.ส. คือ เราเป็นมากกว่าธนาคาร ที่พร้อมดูแลและเติบโตไปพร้อมกับเกษตรกรและชุมชนทั่วประเทศ เราจึงไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนเรา พร้อมเดินหน้าสู่ปีที่ 60 ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาภาคเกษตรไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ธ.ก.ส. The Way We Are ถ้าได้สัมผัส คุณจะรัก ธ.ก.ส.”

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated