“เห็ดโคนน้อย” เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจพื้นบ้านที่สำคัญของภาคเหนือ และเป็นทรัพยากรดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่ แต่กลับเป็นพืชที่ไม่สามารถบริโภคได้ตลอดทั้งปี เนื่องจากต้องรอคอยผลผลิตตามฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ด้วยรสสัมผัสที่อร่อยกลมกล่อม จึงทำให้เห็ดโคนน้อยเป็นที่นิยมของผู้บริโภค และเป็นที่ต้องการของตลาดในสัดส่วนที่สูงหรือเรียกได้ว่ามีกำลังซื้อมากกว่ากำลังผลิต ด้วยบริบทดังกล่าว จึงจุดประกายให้ ดร.วุฒิพงษ์ ฉั่วตระกูล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ทำโครงการสร้างศูนย์สร้างงานและกระจายรายได้ให้แก่เศรษฐกิจฐานรากผ่านธุรกิจการเพาะเห็ดโคนน้อย โดยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการเพาะเห็ดโคนน้อยในพื้นที่ สามารถผลิตเห็ดโคนน้อยสดที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายผ่านการสร้างมูลค่าพืชเศรษฐกิจพื้นบ้าน โดยดำเนินงานในพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ คือ อำเภอสันทราย อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอแม่แตง และอำเภอสารภี มีกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ คือ กลุ่มเกษตรกรและกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา จำนวน 1,000 คน

พัฒนาคน ยกระดับผลผลิต ยกระดับรายได้
“เราอยากให้ผู้ประกอบการเป็นโหนดในการสร้างงานและการกระจายรายได้ผ่านธุรกิจการเพาะเห็ดโคนน้อย” ดร.วุฒิพงษ์ กล่าวถึงเป้าหมายที่เกิดขึ้น โดยมีอำเภอสันทรายเป็นศูนย์ให้คำแนะนำ (Mentor) เนื่องจากเป็นฐานทุนเดิมของการทำธุรกิจเพาะเห็ดโคนน้อยมาตั้งแต่ปี 2562 ใน 3 พื้นที่เป้าหมายใหม่ คือ อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอแม่แตง และอำเภอสารภี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการของตลาดสูง มีศักยภาพการจำหน่ายในพื้นที่ชุมชน และมีระยะทางไม่ไกลจากแหล่งจำหน่ายมากนัก โดยมีเป้าหมายสำคัญที่นอกเหนือจากการพัฒนาหัวเชื้อให้มีคุณภาพดี คือ การยกระดับรายได้ และผลักดันผู้ประกอบการให้มองเห็นถึงการสร้างรายได้ด้วยธุรกิจชุมชน (Local Enterprise: LE) ที่ไม่ใช่แค่การมีรายได้ในฐานะของผู้ผลิตแต่ในฐานะของผู้ประกอบการชุมชน และมากไปกว่านั้น คือ การกระจายรายได้ให้กับผู้คนในชุมชน
ดร.วุฒิพงษ์ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นสำคัญในการทำงาน คือ การค้นหา Key Person ในพื้นที่ เนื่องจากเป็นการทำงานกับคนในชุมชนจึงต้องมองหาคนสำคัญที่มีบทบาทในพื้นที่ที่สามารถพูดคุย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในชุมชนที่เป็นกลุ่มผู้ผลิตให้เจอ โดย Key Person ทั้ง 3 พื้นที่ คือ ผู้ประกอบการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เมื่อหาเจอแล้ว จึงเริ่มกระบวนการยกระดับศักยภาพจากกรอบการทำงานธุรกิจชุมชน หรือ Local Enterprise: LE ที่ประกอบไปด้วย Mindset, Tool Set และ Skill Set

เมื่อผู้ประกอบการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็น Key Person เข้าไปพูดคุยเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมอง หรือ Mindset ของคนในชุมชนเกี่ยวกับการสร้างงาน สร้างรายได้ด้วยการทำธุรกิจเพาะเห็ดโคนน้อย ผ่านการทำงานร่วมกับนักวิจัยของโครงการ เมื่อคนในชุมชนเกิดความเชื่อมั่นที่จะเข้าร่วมโครงการ ทั้งผู้ประกอบการ และผู้ผลิตต้องยอมรับการพัฒนาทักษะและกระบวนการ ต่อมาคือ การพัฒนาทักษะการผลิต หรือ Skill Set ไปพร้อมกับการเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ สถานที่ หรือ Toolset ให้กับผู้ประกอบการและผู้ผลิต เพื่อยกระดับการผลิตเห็ดโคนน้อยให้มีคุณภาพ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ซึ่งระยะแรกเป็นแก่นหลักของงาน คือ การพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการครบวงจร คนกลุ่มนี้จึงต้องมีคุณสมบัติทั้งด้านกระบวนการเรียนรู้ (Whole Process) ที่ครอบคลุมการผลิตเห็ดโคนน้อยและกลไกการตลาด และมีประสบการณ์เพาะเลี้ยงเห็ดชนิดอื่น ๆ มาก่อน ส่วนระยะที่ 2 คือ การพัฒนาผู้ผลิต คือ กลุ่มเกษตรกรและกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา ได้เรียนรู้การทำก้อนเห็ด และรับก้อนเห็ดจากผู้ประกอบการเพื่อนำไปผลิตเห็ดโคนน้อยสด เรียนรู้วิธีการเลี้ยงเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น รวมถึงเรื่องการตลาดเพื่อสร้างความเข้าใจให้ผู้ผลิตสามารถขายเห็ดโคนน้อยสดไปสู่ผู้ประกอบการในแต่ละศูนย์หรือแบ่งไว้เพื่อจำหน่ายเองในชุมชน

สร้างข้อต่อธุรกิจ สร้างอาชีพชุมชน สร้างกลไกตลาด
เมื่อเกิดการพัฒนาคนที่เป็นทั้งผู้ประกอบการ และผู้ผลิต ขั้นตอนต่อมา คือ การพัฒนาเพื่อยกระดับมูลค่าเห็ดโคนน้อยด้วยการกระจายรายได้ หรือตัวช่วยที่เพิ่มกำไรให้กับผลผลิต ที่ครอบคลุมผลผลิตสำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ หัวเชื้อ แม่เชื้อ ก้อนเชื้อ และเห็ดโคนน้อยสด จนเกิดเป็นห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจ (New Value Chain) และเกิดข้อต่อสำคัญของธุรกิจ ที่นำไปสู่การสร้างงานสร้างอาชีพในชุมชน
โดยเกิดเป็นข้อต่อต้นน้ำซึ่งเป็นข้อต่อการผลิต และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ คือ ผู้ผลิต ที่เป็นทั้งกลุ่มผู้ผลิตเห็ดโคนน้อย และกลุ่มแรงงาน เพื่อทำหน้าที่เป็นข้อต่อการผลิตเห็ดโคนน้อยที่มีคุณภาพและตรงตามมาตรฐานของผู้บริโภค โดยส่วนการผลิตก้อนเชื้อจะเป็นกลุ่มแรงงานผู้สูงอายุที่ทำงานเป็นเครือข่ายร่วมกันในการรับจ้างทุบและปั้นก้อนเชื้อให้กับผู้ประกอบการทั้ง 4 ศูนย์
ส่วนข้อต่อกลางน้ำที่เป็นข้อต่อธุรกิจ คือ ผู้ประกอบการ นับว่าเป็นข้อต่อสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ที่ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้ผลิตในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อมทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ สถานที่ และโรงเรือน ตลอดจนการเลือกซื้อวัตถุดิบภายในพื้นที่เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็น 1 ในรูปแบบการกระจายรายได้ผ่านการซื้อวัตถุดิบให้ผู้ค้าวัตถุดิบรายอื่น ๆ ในพื้นที่ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจเพาะเห็ดโคนน้อย

ขณะเดียวกัน โครงการได้ตั้งเป้าให้ผู้ประกอบการมีบทบาทเป็น “ผู้รวบรวมผลผลิต” เห็ดโคนน้อยสด ซึ่งเป็นข้อต่อในการเพิ่มปริมาณผลผลิตเห็ดโคนน้อยสดด้วยการกระจายสู่ตลาดทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ที่เป็นทั้งตลาดค้าส่ง คือ กาดเมืองใหม่ โดยตั้งเป้ารวบรวมผลผลิตจาก 2 พื้นที่ที่อยู่ใกล้ชุมชนเมืองและเอื้อต่อการขนส่ง คือ ศูนย์สารภี และศูนย์ดอยสะเก็ด แต่กลับยังไม่เกิดโหนดของผู้รวบรวมตามที่โครงการมุ่งหวังไว้ เนื่องจากทางผู้ผลิตในพื้นที่เลือกขายเห็ดโคนน้อยทันที ดังนั้น กระบวนการที่จะก่อให้เกิดการสร้างงานในข้อต่อผู้รวบรวมจึงยังไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เพราะไม่มีผลผลิตที่ขายคืนให้กับผู้ประกอบการเพื่อส่งไปยังตลาดรับซื้อขนาดใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน คือ เกิดรายได้ขึ้นในชุมชนเนื่องจากผู้ผลิตขายเองได้
หนึ่งในข้อต่อการตลาดที่สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงปลายน้ำ คือ “ผู้กระจายสินค้า” ทั้งภายในและภายนอกชุมชน หรือเรียกว่า “แก๊งปั่นจักรยาน” เป็นข้อต่อปลายน้ำที่โดดเด่นที่เกิดขึ้นในศูนย์กระจายรายได้ในชุมชนอำเภอสันทราย ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่ร่างกายแข็งแรงและอยากมีรายได้ โดยจะปั่นจักรยานไปรับเห็ดโคนน้อยสดในแต่ละพื้นที่และแบ่งขายเป็นถุงพ่วงกับจักรยาน ถ้าหากรับซื้อจากศูนย์ก็จะได้ราคาส่ง เมื่อนำไปขายต่อจะได้กำไรส่วนต่างประมาณ 20-30 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ราคาซื้อขายเป็นราคาตลาด และไม่มีการตัดราคากันเองระหว่าง 4 ศูนย์ โดยราคาขายส่งเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 100 บาท ส่วนขายปลีกราคากิโลกรัมละ 120 บาท ด้วยการบริหารจัดการร่วมกันของทั้ง 4 ศูนย์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 40,000 บาทเป็น 100,000 บาท ตลอดจนมูลค่าของวัตถุดิบทั้ง 4 พื้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านบาท


ถึงแม้ว่า ตลอดเส้นทางธุรกิจเห็ดโคนน้อยจะเกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพในแต่ละข้อต่อ และเกิดปริมาณของผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่ข้อเท็จจริงที่พบ คือ เห็ดโคนน้อยยังคงขาดตลาด ถึงแม้จะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างเต็มที่จากผู้ประกอบการทั้ง 4 ศูนย์อยู่ที่ 600 กิโลกรัมต่อเดือน ก็ยังไม่เพียงพอ จึงเป็นเหตุผลที่โครงการพัฒนาผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องและขยายผลเพื่อให้มีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ประกอบกับการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาพื้นที่ หรือเรียกว่า Appropriate Technology ของหน่วย บพท. เข้ามาปรับใช้กับกระบวนการรดน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต ให้เพียงพอกับความต้องการของท้องตลาดต่อไป
มากกว่าสร้างรายได้ คือ สร้างคุณค่าชีวิตคืนสู่ชุมชน
ดร.วุฒิพงษ์ กล่าวถึงการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา ถึงแม้จะพบข้อจำกัดที่หลากหลายแต่ “เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ในพื้นที่อำเภอแม่แตง คือ เกิดการตลาดชุมชน เกษตรกรรุ่นใหม่ในพื้นที่ที่สามารถบริหารจัดการเกษตรและเกษตรท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน”
ส่วนศูนย์ดอยสะเก็ดและศูนย์สารภี สามารถยกระดับเป็นผู้ประกอบการชุมชนที่มีรายได้จากการผลิตและขายเห็ดโคนน้อยได้เองหลังจากสิ้นสุดโครงการ ขณะเดียวกัน ทั้ง 2 ศูนย์สามารถนำทักษะความรู้ที่ได้จากโครงการไปสร้างงานกับกลุ่มคนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง สามารถยกระดับขึ้นเป็นผู้ประกอบการชุมชน มีรายได้จากการทำธุรกิจเห็ดโคนน้อย และสามารถเอื้อประโยชน์ให้ชุมชนโดยการดึงคนในชุมชนมาเป็นข้อต่อใดข้อต่อหนึ่ง ซึ่งเน้นไปที่ข้อต่อของผู้ผลิตที่มีการกระจายการสร้างงานเพิ่มขึ้น และขยายใหญ่ขึ้น

ด้าน ผศ.เพ็ญวรัตน์ พันธ์ภัทรชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา หนึ่งในผู้ร่วมวิจัย กล่าวเสริมว่า เมื่อคนในชุมชนมีการเปลี่ยน Mindset ในการทำธุรกิจชุมชน พร้อมที่จะเรียนรู้ไปพร้อมกับทีมวิจัย ทำให้ทีมวิจัยทำงานกับชุมชนง่ายขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์ราคาวัตถุดิบได้ว่า ชนิดไหนควรแยกซื้อ ควรซื้อรวมกัน หรือฝากกันซื้อจากนอกพื้นที่ เห็นได้ชัดเจนว่า เขามีระบบการจัดการการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่ใช่แค่การพัฒนาศักยภาพและความสามารถผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มผู้ผลิตซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนที่มีอยู่ในชุมชน คือ กลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มคนพิการ ส่วนหนึ่งผู้สูงอายุและผู้พิการมักจะถูกจำกัดให้อยู่แต่ในบ้าน การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจึงน้อยลง ส่งผลให้มองเห็นคุณค่าในตัวเองลดลง และกำลังเผชิญกับการขาดอาชีพ ขาดรายได้ แต่เมื่อมีการขยายอาชีพเพาะเห็ดโคนน้อยเข้าไปในพื้นที่ จึงเกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ นำไปสู่การสร้างพื้นที่ร่วมในชุมชนที่เชื่อมโยงกลุ่มเป้าหมายเข้ามาสื่อสารกันมากขึ้นจากกิจกรรมที่รับเห็ดไปเพาะเลี้ยงที่บ้าน เกิดแก๊งปั่นจักรยาน เป็นต้น ส่วนคนพิการจากเดิมมีเพียงเบี้ยยังชีพจากรัฐบาล แต่ปัจจุบันมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการนำก้อนเชื้อไปเพาะ

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างโอกาสให้เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่เพียงแค่รายได้ที่เพิ่มขึ้น เขายังมองเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้สภาพจิตใจและสภาพครอบครัว และสภาพชุมชนดีขึ้นตามไปด้วย บางคนไม่ได้เงินแต่เขาดีใจที่ในแต่ละวันเขามีพื้นที่แบ่งปันสุข และทุกข์ร่วมกับคนอื่น ๆ ได้ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสังคมอย่างเห็นได้ชัด
“ภาพที่เห็นได้ชัดเจนในวันที่งานสำเร็จ คือ การเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และมีความสามารถ ก่อให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของการใช้วัตถุดิบทั้งในและนอกพื้นที่ ทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ อีกทั้งการนำองค์ความรู้ที่ได้มาปรับใช้กับธุรกิจตลอดเวลา เนื่องจากผู้ประกอบการมองว่า ชุมชน คือ พื้นที่ที่เขาเติบโตและอาศัยอยู่ตลอดไป เมื่อโตขึ้นเขาต้องผลักดันให้ผู้คนโดยรอบเติบโตตามไปด้วย ดังนั้น เขาจึงไม่ลืมที่จะสร้างงานและกระจายรายได้ให้คนในชุมชน”