ธ.ก.ส. เปิดโครงการ BAAC Carbon Credit ขับเคลื่อนภารกิจซื้อ-ขาย Carbon Credit สร้างรายได้ให้ชุมชน

ธ.ก.ส. ผนึกกำลังชุมชนธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่และบ้านแดง จังหวัดขอนแก่น ขับเคลื่อนภารกิจซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิตอย่างเป็นทางการ ในโครงการ BAAC Carbon Credit จำนวน 400 ตันคาร์บอน มูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท พร้อมขยายผลการสร้างคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ไปยังชุมชนธนาคารต้นไม้ ทั้ง 6,800 ชุมชน และหนุนการปลูกป่าเพิ่มอีกปีละ 108,000 ต้น วางเป้าหมายสร้างปริมาณการซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิตอีกกว่า 510,000 ตันคาร์บอน ภายใน 5 ปี เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐเอกชน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทดแทนคุณแผ่นดิน ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านธุรกิจ การดูแลรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม การสร้างรายได้ให้ชุมชน และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย

(ชมเกษตรก้าวไกล LIVE บนเวทีเสวนาตั้งแต่ต้นจนจบ คลิกไปที่ https://www.facebook.com/kasetkaoklai/videos/361640346666432)

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 / ขอนแก่น – นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานเปิดโครงการ BAAC Carbon Credit  และการซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย จากชุมชนธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่และบ้านแดง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 400 ตันคาร์บอน (ที่ได้รับการรับรองปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเครดิต เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566) โดย ธ.ก.ส. รับซื้อในราคากึ่ง CSR ตันละ 3,000 บาท คิดเป็นเงินรวม 1.2 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนชุมชนในการดูแลสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์เป้าหมายการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ. 2065

ในพิธี เปิดโครงการ BAAC Carbon Credit ครั้งนี้ได้มีการเสวนาบนเวที โดยมีนายสุวิกรม อัมระนันทน์ หรือเปอร์ จากรายการ Perspective ร่วมพูดคุยสนทนาในประเด็นย้อนรอย BAAC Carbon Credit กับผู้นำชุมชน นายธนพิสิฐ ใจกว้าง ประธานธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่ นายประสิทธิ์ เพ็งรักษ์ ประธานธนาคารต้นไม้บ้านแดง นายผลึก อาจหาญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธ.ก.ส. และนายอภิสิทธิ์ เสนาวงค์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ ในการปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดโลกร้อน และการสร้างรายได้เสริมจากการปลูกป่าในอนาคต โดยมี นายณรงค์ ขันติวิริยะกุล นายพงษ์พันธ์ จงรักษ์ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. คณะผู้บริหารและพนักงาน ธ.ก.ส. ส่วนงานภาครัฐเอกชนและประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านท่าลี่ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกป่าตามแนวพระราชดำริ“ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการธนาคารต้นไม้ จนปัจจุบันมีชุมชนธนาคารต้นไม้ 6,814 ชุมชน มีสมาชิก 124,071 คน มีต้นไม้ขึ้นทะเบียนในโครงการกว่า 12.4 ล้านต้น มูลค่าต้นไม้กว่า 43,000 ล้านบาท และการยกระดับไปสู่ชุมชนไม้มีค่า มีการนำต้นไม้ที่ปลูกมาแปลงเป็นสินทรัพย์ เพิ่มมูลค่าให้กับที่ดินและนำมาใช้เป็นหลักประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. สมาชิกในชุมชนมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากต้นไม้/ป่าไม้ ปีละ 116 ล้านบาท และเพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้กับชุมชนที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ธ.ก.ส. จึงได้ร่วมกับชุมชนธนาคารต้นไม้ดำเนิน โครงการ BAAC Carbon Credit เพื่อเดินหน้าแนวทางการส่งเสริมการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตในประเทศ ตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ และตามมาตรฐานประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER)

เริ่มจากการขึ้นทะเบียนโครงการ การตรวจนับจำนวนต้นไม้ การตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตจากผู้ประเมินภายนอก (Validation and Verification Body: VVB) การรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจาก อบก. เพื่อนำปริมาณการกักเก็บดังกล่าวไปตอบโจทย์ความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) โดยนำร่องโครงการธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่และธนาคารต้นไม้บ้านแดง จังหวัดขอนแก่น จำนวนคาร์บอนเครดิต 400 ตันคาร์บอน โดย ธ.ก.ส.ซื้อ-ขายกึ่ง CSR ในราคาตันละ 3,000 บาท คิดเป็นเงินรวม 1,200,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกษตรกรในชุมชนจะมีรายได้ 842,100 บาท ซึ่งโครงการดังกล่าวนอกจากช่วยสร้างรายได้กลับคืนสู่ผู้ปลูกต้นไม้แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่จะมาดูดซับปริมาณคาร์บอน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน และผลักดันให้ประเทศไทย สามารถบรรลุข้อตกลงความเป็นกลางทางคาร์บอนตามเป้าหมายที่วางไว้

ด้านหลักการคิดคำนวณต้นไม้ 1 ต้น ช่วยสร้างปริมาณคาร์บอนเครดิตได้เฉลี่ย 9.5 กิโลกรัมคาร์บอนต่อปี ซึ่งพื้นที่ขนาด 1 ไร่ ปลูกต้นไม้ได้เฉลี่ย 100 ต้น/ไร่ จะได้ปริมาณคาร์บอนเครดิต 950 กิโลกรัมคาร์บอนต่อปี ณ ราคาขายกึ่ง CSR 3,000 บาทต่อตันคาร์บอน (อัตราคำนวณรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 70 : 30) กล่าวคือ เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่าขึ้นทะเบียนต้นไม้ในแต่ละต้น การตรวจนับและประเมิน การออกใบรับรอง เป็นต้น คิดเป็นร้อยละ 30 ของมูลค่าการขาย ดังนั้น เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายที่ร้อยละ 70 ของราคาขาย หรือประมาณ 2,000 บาทต่อไร่ต่อปี หรือกรณีปลูกต้นไม้แบบหัวไร่ปลายนา จะสามารถปลูกได้เฉลี่ย 40 ต้น/ไร่ คิดเป็น 380 กิโลกรัมคาร์บอนต่อไร่ต่อปี จะทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 800 บาทต่อไร่ต่อปี

โดยปัจจุบันมีชุมชนที่ได้รับการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกและได้รับใบประกาศเกียรติคุณ LESS จาก อบก. แล้ว 84 ชุมชน ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บได้กว่า 2.7 ล้านตันคาร์บอน โดย ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับชุมชนธนาคารต้นไม้ในการกักเก็บคาร์บอนแล้ว จำนวนกว่า 3.8 ล้านบาท

นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ธ.ก.ส. พร้อมขยายผลการสร้างคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ไปยังชุมชนที่เข้าร่วมโครงการธนาคารต้นไม้ โดยสนับสนุนการปลูกป่าเพิ่มในที่ดินของตนเองและชุมชน ปีละประมาณ 108,000 ต้น ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่จะนำมาซื้อ – ขายได้กว่า 510,000 ตันคาร์บอน ภายใน 5 ปี การส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การเพาะกล้าไม้ เพื่อสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ  การทำนาเปียกสลับแห้ง เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน การลดพื้นที่การเผาตอซังข้าว อ้อยและข้าวโพด เพื่อลด PM 2.5 การเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าชายเลน การนำผลิตผลจากต้นไม้มาสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้กับชุมชนทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การนำวัตถุดิบจากไม้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตน้ำส้มควันไม้ ปลูกสมุนไพร และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เป็นต้น

สำหรับโครงการ BAAC Carbon Credit เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำให้องค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งไว้ ซึ่งนอกจากหน่วยงานจะได้รับประโยชน์ในด้านธุรกิจ ที่มีความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังเป็นการช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจชุมชนในการดูแลและปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวที่ได้รับการปกป้องโดยคนในชุมชน สะท้อนถึงความเข้มแข็งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งโลกอีกด้วย และสำหรับหน่วยงานที่สนใจในการซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิต และต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้และสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งให้กับชุมชน อันนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน สามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ 2346 ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Center 02 555 0555

ทางด้าน อภิสิทธิ์ เสนาวงศ์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ สำนักรับรองคาร์บอนเครดิต (TGO) ได้ให้ข้อมูลเรื่องตลาดการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ว่า ที่ผ่านมาราคาคาร์บอนเครดิตในภาคป่าไม้ ราคาซื้อ-ขายที่มีจริง คือต่ำสุด 55 บาท ไม่ใช่ต่ำสุด 200 บาท จากที่เข้าใจกัน และราคาสูงสุดที่เคยซื้อ-ขาย คือราคา 2,000 บาท และราคาซื้อล่าสุดก่อนหน้านี้คือ 500 บาท ต้องบอกว่าวันนี้ ธ.ก.ส.ทำลายสถิติทุกสิ่งทุกอย่าง

“สถิติแรกคือราคาสูงสุด ต่อไปนี้ผมไปพูดที่ไหน ราคาซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตต่อตันก็คือ 3,000 บาท และเป็นราคาที่สูงที่สุดในประเทศไทย และที่สำคัญเป็นราคาคาร์บอนเครดิตที่สูงที่สุดในโลก”

ปิดท้ายด้วยความคิดเห็นของ นายผลึก อาจหาญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธ.ก.ส. ซี่งขึ้นบนเวทีเสวนาในวันนี้ด้วย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราคาซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตที่รับซื้อ 3,000 บาท/ตัน เป็นราคาที่ผู้ซื้อผู้ขายพึงพอใจระหว่างกัน มันเป็นราคาที่ไม่ถือว่าสูงเกินไป เพราะว่าชุมชนกว่าเขาจะทำให้ได้คาร์บอนเครดิตเกิดขึ้นมามันมีเรื่องราวมากมาย

“คาร์บอนเครดิตของชุมชนแห่งนี้มันเหมือนพรีเมี่ยนเลย ทำค่อนข้างยาก เป็นการรวมตัวของเกษตรกรรายย่อย เพราะฉะนั้นการให้มูลค่าแค่ 3,000 บาท/ตัน มันถูกด้วยซ้ำไป เขารวมตัวกันเป็น 10 ปี ในการรวมคน ธ.ก.ส.เห็นคุณค่าตรงนี้ เราจึงมองว่าจากสถิติที่เคยซื้อ 2,000 บาท มันไม่พอ..วันนี้เราให้จึงให้ 3,000 บาท” นายผลึก อาจหาญ กล่าวย้ำอย่างชัดเจน

ชมคลิป – สัมภาษณ์แบบยืนคุยกับ นายผลึก อาจหาญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธ.ก.ส. – ได้ถามว่าที่ ธ.ก.ส.รับซื้อคาร์บอนเครดิตราคา 3,000 บาท/ตน มันถูกแพงเหมาะสมหรือไม่เพียงใด?
SIMA_webbanner_468x90_TH_animated