1 ล้านตัว... “คืนหอยลายสู่ทะเลตราด” หวังให้เป็นพ่อแม่พันธุ์ สร้างประมงไทยยั่งยืน
ดร.วารินทร์ ธนาสมหวัง ผู้ทรงคุณวุฒิกรมประมง กับกิจกรรม “คืนหอยลายสู่ทะเลตราด” โดยร่วมมือกับ สวก. และชาวประมงพื้นบ้าน

กรมประมงจับมือสวก.สร้างรายได้ยั่งยืนชาวประมง คืนชีวิตหอยลายสู่ทะเลตราด สนองพระราชดำริ รัชกาลที่ 9…(เรื่องโดย : สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย)

เป็นที่ทราบกันว่าหอยลายที่นำมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบันเป็นผลผลิตที่มาจากทะเลไทย ดังนั้นเมื่อความต้องการบริโภคในประเทศเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรมนำหอยลายไปแปรรูป ซึ่งมีการบริโภคทั้งในประเทศและส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การทำประมงหอยลายมีการแข่งขันอย่างรุนแรง ทำให้หอบลายลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ชาวประมงนิยมใช้คราดหอยที่มีความห่างของซี่ขนาดเล็ก การจับหอยลายจากทะเลขึ้นมาใช้ประโยชน์จนหอยในธรรมชาติเกิดทดแทนไม่ทัน ส่งผลให้แหล่งทำการประมงหอยลาย สามารถควบคุมการทำการประมงให้เหลือเพียงการใช้เครื่องคราดด้วยมือ หรือที่ชาวประมงเรียกกันว่า “กระดี๊บหอยลาย”

เราจะร่วมกัน...คืนหอยลายสู่ทะเลตราด
เราจะร่วมมือกัน

ดร.วารินทร์ ธนาสมหวัง ผู้ทรงคุณวุฒิกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมง ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรแห่งชาติ (สวก.) จัดกิจกรรม “คืนหอยลายสู่ทะเลตราด” เพื่อเป็นการสนองพระราชดำริ  โดยมีการมอบหอยลายขนาด 0.5-1 ซม.จำนวน 1,000,000 ตัว และมีการปล่อยกุ้งแช่บ๊วย จำนวน 8,000,000 ตัวให้กับตัวแทนชุมชนอ่าวใหญ่เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศล 50 วัน แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องจากปัจจุบันหอยลายในทะเลไทยมีสภาพขาดแคลน ส่งผลให้กรมประมงมีแนวคิดที่จัดทำการเพาะเลี้ยงหอยลาย เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเลี้ยงหอยลายในบ่อดิน เพื่อนำหอยลายดังกล่าวปล่อยลงสู่ทะเล อีกทั้งมีการติดตามการกระจายตัวของหอยลายในพื้นที่ทะเล โดยมีชาวประมงในชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตาม เพื่อให้รู้ถึงสภาพการเติบโตของหอยลาย อีกทั้งยังสามารถช่วยลดผลกระทบการทำประมงที่ทำลายระบบนิเวศน์และทรัพยากรทางทะเล ได้อีกทางหนึ่ง

จากเดิมการจับหอยลายมีการแข่งขันสูง ทำให้หอยลายลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว พอมีจับมากราคาดีชาวประมงและผู้ประกอบการหันมาจับมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณหอยลายขาดแคลนอย่างรวดเร็ว จึงมีแนวคิดที่เพาะหอยลาย เพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์หอยลาย ปัจจุบันหอบลายหายาก ดังนั้นจึงได้มีการเพาะพันธุ์หอยลายที่มีขนาด ครึ่งซม. – 1 ซม. เพื่อปล่อยให้เป็นพ่อ-แม่พันธุ์ เนื่องจากที่ผ่านมากมีการจับหอยลายจำนวนมาก กรมประมง ได้ทำการศึกษาพัฒนาการเพาะเลี้ยงหอยลายที่เลี้ยงควบคู่กับหอยลายที่มีเองตามธรรมชาติ หอยขนาดเล็กยังไม่ทันโต จับมาก่อนก็จะไม่มีลูกหอยลาย จึงให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ให้มีการควบคุมกันเอง จากที่เคยจับได้ 10,000 หมื่นตัน แต่สภาพและปริมาณหอยลายลดลงอย่างต่อเนื่องสามารถจับได้เพียง 8,000 ตัน เท่านั้น จากปริมาณที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สมควรเห็นว่า ต้องมีการพัฒนาเครื่องมือในการจับหอยลายขึ้นมาเพื่อให้หอยที่ยังมีขนาดเล็กได้รอดจากการจับ เครื่องมือจับหอยลายที่ว่านี้ ชาวประมงเรียกขานกันว่า “กระดื๊บ”

หอยลายคืนสู่ทะเล
เราจะคืนสู่ทะเล

ด้าน นายปิยะโชติ สินอนันต์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ  กรมประมง กล่าวว่า ปัจจุบันหอยลายอยู่ในสภาพวิกฤติถึงรุ่นแรง เนื่องจากมีเรือประมงเข้ามาจับจำนวนมากทำให้หอยลายและสัตว์น้ำประเภทอื่น มีราคาพุงสูงขึ้น แต่ทว่าปริมาณการเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด    ดังนั้น กรมประมงร่วมมือกับจังหวัดที่ติดกับทะเลไม่ว่าจะเป็นจังหวัดตราด และจังหวัดประจวบคิริขันธ์ ที่เป็นแหล่งอาศัยของหอยลาย นอกจากนี้ชุมชนในท้องถิ่น ชาวประมงท้องถิ่น เห็นชอบพื้นที่เขตการอนุรักษ์ จำนวน 300-500 ไร่ ในทะเล รวมทั้งห้ามจับสัตว์น้ำในทะเล ตั้งแต่ 3,000-5,000 เมตร และการกำหนดวันเวลาในการออกทะเล เป็นการควบคุมการทำประมง  และสุดท้าย ปล่อยหอยลาย และสัตว์ประเภทอื่นๆ กรมประมงคาดว่า ในอีก 3 ปี หอยลายและสัตว์น้ำประเภทอื่นๆในทะเลไทย จะมีสภาพและปริมาณเพิ่มขึ้น อีกทั้งการฟื้นฟูสัตว์น้ำจะมีความยั่งยืน หลังจากที่กรมประมงได้ทำการปล่อยหอยลายและสัตว์น้ำประเภทอื่นๆ ร่วมด้วย

ขอให้ไปเป็นพ่อ-แม่พันธุ์ ออกลูกสืบหลานให้เยอะๆ
ขอให้ไปเป็นพ่อ-แม่พันธุ์ ออกลูกสืบหลานให้เยอะๆ

นายมนตรี ธรรมโชติ ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านแหลมเทียน  ตำบลอ่าวใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดตราด เล่าว่า อดีตที่ผ่านมาพื้นที่บ้านแหลมเทียน มีหอยลายจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวประมงพื้นที่ มากถึงวันละ 1,000-2,000 บาท  แต่ปัจจุบันปริมาณหอยลายลดลง ทำให้รายได้ลดลงอยู่ที่ 500-1,000 บาทต่อวันเท่านั้น เนื่องจากมีเรือประมงลักลอบจับหอยลาย ทำให้ปริมาณหอยลายลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะการจับหอยของผู้ลักลอบจะใช้เครื่องมือแบบผิดกฎหมาย และมีขนาดตาถี่ ทำให้จับหอยขนาดเล็กติดไปด้วย

ดังนั้น กรมประมงและชาวประมงพื้นบ้านรวมกลุ่มกัน และมีข้อตกลงกันว่าจะไม่ทำประมงใกล้ชายฝั่ง อีกทั้งได้มีการตั้งกฎกติกาในการอนุรักษ์พื้นที่การจับหอยลายไว้ อาทิ การกันพื้นที่การจับอยู่ที่ประมาณ 5 ไมล์ทะเล  การปรับเปลี่ยนเครื่องมือใหม่ ที่เรียกว่า “กระดี๊บ” และสุดท้ายคือการปล่อยพ่อแม่พันธุ์หอยลาย เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณ และที่สำคัญมีการตั้งเวรยาม ป้องกันไม่ให้เรือประมงลักลอบเข้ามาจับหอยลายในพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ

นายอารมณ์ ประจวบเขต ชาวประมงพื้นบ้านบ้านแหลมเทียน ตำบลอ่าวใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดตราด   เล่าว่า  การอนุรักษ์หอยลาย มีประโยชน์ตรงที่ชาวบ้านมีอาชีพเสริมมีรายได้เสริม  แต่ถ้าปล่อยให้เรือที่ผิดกฎหมายเข้ามาก็จะทำให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาล ปล่อยให้เรือกำลังแรงเครื่องเยอะไม่เกินครึ่งเดือนคิดว่าหอยลายน่าจะหมด นอกจากนี้ทางประมงทะเลเกาะช้าง ยังให้การสนับสนุนรูปแบบการจัดการบริหาร โดยมีมติให้ชาวบ้านเป็นอาสาเข้ามาดูแลบริหารจัดการ ซึ่งหากมีเรือประมงเข้ามาให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วน

นายอารมณ์ เล่าอีกว่า รูปแบบที่ชาวประมงใช้ในการจับหอยลายของกลุ่มไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ดังนั้นจึงเล็งเห็นว่าจำเป็นต้องอนุรักษ์หอยลายไว้ ป้องกันไม่ให้เรือขนาดใหญ่ที่คราดหอยเข้ามาทำในเขต 3,000 เมตรตามกฎหมายของกรมประมง ขณะเดียวกันให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต สำหรับการอนุรักษ์หอยลายห้ามใช้เครื่องมือคราดหอยลายแบบประกอบเครื่องยนต์โดยเด็ดขาดหรือแม้แต่ตะแกรงที่นำมากระดื๊บหอยลายก็ห้ามติดเครื่องยนต์โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนต้องรับโทษตามกฎหมาย.

(เรื่องโดย : สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย ผู้สื่อข่าวพิเศษ เกษตรก้าวไกลดอทคอม)

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated